srikho tv

ข่าวสาร ทั่วไป และวัฒนธรรมท้องถิ่น ประเพณี

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2567






 วันที่30 มกราคม 67เวลา 09:30 น ที่ศาลาประชาคมบ้านสะแร โดยมีนายไพโรจน์ ดวงดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลอาโพน  เป็นประธานพิธีเปิดการฝึกอบรม.    

 ร.ท.มงคล กล่าวรายงานต่อประธาน

มีวิทยากรบรรยายให้ความรู้           พ.ต.ท. สุรพศ ผมหอม สารวัตรสอบสวนสภบัวเชด บรรยายเกี่ยวกับยาเสพติด วิทยากร  นายทวี สมอาราม ผู้ใหญ่บ้านสะแร และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคณะกรรมการหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข .รสต.ตำบลอาโพน รวมเป็นวิทยากรเพื่อบรรยายให้กับพี่น้องที่มาอบรมครั้งนี้                       หัวหน้าชุดพัฒนามวลสัมพันธ์ ที่2215 และ

ผู้เข้าร่วมพิธีทุกท่าน

   การฝึกอบรมราษฎร

พิทักษ์หมู่บ้าน รุ่นที่ 1 บ้านสะแร ตำบลอาโพน ในวันนี้

ตามที่ได้รับฟังการกล่าวรายงานของ หน้าชุดพัฒนา

สัมพันธ์มวลชนที่ 2215 ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่

รัฐบาล และกองทัพบก ได้เล็งเห็นความสำคัญ ของการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในพื้นที่อำเภอบัวเชด พร้อมทั้งมี

การฝึกอบรมประชาชนเพื่อให้ความรู้ และตระหนักถึงภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน ให้ชุมชนมีความสามารถในการป้องกันตนเอง ตลอดจนสามารถสนับสนุน การปฏิบัติงานของราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การต่อสู้

เพื่อเอาชนะยาเสพติด จำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนในพื้นที่จะต้องให้ความร่วมมือ และความช่วยเหลือกัน สอดส่องเยาวชนในครอบครัว และในชุมชนของเราไม่ให้ตกเป็น

เครื่องมือของผู้ค้ายาเสพติด ผู้เข้ารับการอบรมในวันนี้จะนำความรู้ความสามารถที่ได้รับไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อป้องกันเยาวชนในหมู่บ้านและชุมชนตนเองและช่วยเหลือการปฏิบัติงานทางราชการให้เป็นรูปประธรรมในตำบลของเราต่อไปโอกาสนี้อยากให้ผู้เข้าอบรมได้เอาความรู้ความสามารถไปปฏิบัติเพื่อดูแลคนในชุมชนต่อไป










วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2567

โรงพยาบาลสุรินทร์ จัดประชุม สื่อมวลชน และเครือข่ายประชาสัมพันธ์ จังหวัดสุรินทร์







 


โรงพยาบาลสุรินทร์ จัดการประชุม เครือข่ายสื่อมวลชนและเครือข่ายประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ฯ ณ ห้องประชุมกุญชรศุภศรี ชั้น 9 อาคาร 100 ปี สธ.รพ.สุรินทร์ 29 มกราคม 2567

 นพ.ชวมัย  สืบนุการณ์ ผอ.รพ.สุรินทร์ ประชุมเครื่อข่ายสื่อมวลชนจังหวัดสุรินทร์  ร่วมกับทางโรงพยาบาลสุรินทร์ เพื่อนำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนได้   ร้บรู้ เข้าใจกับสิ่งต่างที่ทางโรงพยาบาลสุรินทร์ได้ทำอยู่ หรือกำลังทำแต่ยังไม่เสร็จ เพื่อร่วมกัน ขับเคลื่อน และพัฒนาโรงพยาบาล ให้เจริญก้าวหน้าทันสมัยยิ่งขึ้นและให้ ความรู้ เกี่ยวกับโรคภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้การรักษาได้ทันกับ เหตุการณ์ สภาวะในปัจจุบัน

  จึงได้เชิญสื่อมวลชน ทุกแขนงมาร่วมประชุม  เพื่อเป็นเครือข่ายของโรงพยาบาลสุรินทร์ ในการทำงานสื่อสารกระจายข่าวสารต่างๆจาก รพ.สุรินทร์


















วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2567

ไวรัสตับอักเสบบี และ ตับอักเสบชี มหันตภัยร้าย ที่รักษาได้

 





##โครงการให้ความรู้และตรวจตับสัญจร #ไวรัสตับอักเสบบีและซี # มหันตภัยร้ายรักษาได้ ก่อนสายเกินแก้

   26 มกราคม 2567 ณ. ห้องประชุมสระโบราณโรงพยาบาลสุรินทร์

โดย นพ.ชวมัย สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ เป็นประธานในพิธีเปิด

   มี นพ.เผด็จ หนูพันธ์ หัวหน้าศูนย์ส่องกล้องโรงพยาบาลสุรินทร์ กล่าวรายงาน

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับตับอักเสบชี นับเป็นภัยเงียบ ของทุกภูมิภาคทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากข้อมูลขององค์กรอนามัยโลก เมื่อปีพุทธศักราช 2565 พบผู้ติดเชื้อไวรัส ตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 257 ล้านคน และผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชี เรื้อรังประมาณ 71 ล้านคน สำหรับในประเทศไทยพบ ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีประมาณ 2.2 ถึง 3 ล้านคน และผู้ติดเชื้อไวรัส ตับอักเสบซีประมาณ 3-8 แสนคน พบใน ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป จากสถิติ การใช้บริการที่โรงพยาบาลสุรินทร์ในปีพุทธศักราช 2565-2566 พบผู้ติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบีจำนวน 205,232 คน และมีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชี จำนวน 424,499 คน ผู้ติดเชื้อมีจำนวน          เพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงภัยคุกคามร้ายแรงด้านความมั่นคง ด้านสุขภาพและชีวิตของประชาชนทั่วโลก องค์กรอนามัยโลก และประเทศสมาชิก จึงได้ กำหนดเป้าหมายการกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซี ภายในปีพุทธศักราช 2573 ประกอบด้วยลดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีลายใหม่ร้อยละ 95 และลดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชีรายใหม่ร้อยละ 80 ผู้ติดเชื้อตับอักเสบบีและชี ได้รับ การวินิจฉัยร้อยละ 90 ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและชี ได้รับการรักษามากกว่าร้อยละ 80 และอัตราการเสียชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี ลดลงร้อยละ 65 โดยใช้มาตรการรณรงค์ป้องกันและดูแลรักษาที่สำคัญได้แก่ การให้ความรู้ การให้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบและการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโดยเร็วและการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพ

  มูลนิธิตับอักเสบแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรการกุศล ไม่แสวงหาผลกำไร บริหารงานโดยคณะอาจารย์แพทย์ จากโรงพยาบาลต่างๆซึ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2546 และได้รับเป็นองค์กรหรือสถานสาธารณกุศล ลำดับที่ 999 ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 771) ประกาศราชกิจจานุเบกษา  ณ.วันที่ 12 คนละกรกฎาคม 2564 ได้จัดโครงการให้ความรู้ และ ตรวจตับสัญจรขึ้น เพื่อรณรงค์ป้องกันโรคอย่างต่อเนื่องและให้ลงถึงชุมชน มากขึ้น โดยมีการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคตับพร้อมทั้ง ให้บริการตรวจ คัดกรองหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและชี แก่ประชาชนฟรี รวมทั้งผู้ที่มีความเสี่ยง จะได้รับการตรวจ พังผืดตับ เพื่อส่งต่อเข้าสู่ระบบการรักษา ต่อไป และเพื่อกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบชี ให้หมดไปภายในปีพุทธศักราช 2573

  นพ.ชวมัย สืบนุการณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสุรินทร์ กล่าวว่า จากคำกล่าวรายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า วัตถุประสงค์ของโครงการ มุ่งเน้นที่การตรวจคัดกรอง เชื้อไวรัสตับอักเสบบีและ ไวรัสตับอักเสบซี แก่ประชาชน ที่มีอายุตั้งแต่ 31 -70 ปี รณรงค์ให้ ประชาชนตื่นตัวดูแลรักษา สุขภาพตับ ประเมินระดับ ความรุนแรงของการของภาวะตับแข็ง ของประชาชนในพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อให้ ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น และเพื่อกำจัดโรค ไวรัสตับอักเสบบีและไวรัสตับอักเสบซีให้หมดไปภายในปีพุทธศักราช 2573

   ปัจจุบันสถานการณ์ของโรค เริ่มทวีความรุนแรง เพิ่มความยากลำบาก รายการรักษาและการดูแล ซึ่งมี ช่องทางการติดเชื้อ คือทางเลือด เพศสัมพันธ์ และการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก เป็นเชื้อไวรัสที่อันตราย หากได้รับเชื้อแล้วไม่เข้าสู่กระบวนการรักษามีโอกาส เป็นตับอักเสบ เรื้อรัง ไตวาย ตับแข็งและมะเร็งตับได้ ถ้าประชาชนได้รับการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยรักษา รวดเร็วตามเป้าหมาย ของกระทรวงสาธารณสุข และองค์กรอนามัยโลกจะทำให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โรงพยาบาลสุรินทร์ ได้ตระหนัก ถึงสภาพปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการให้ความรู้และตรวจตับสัญจรร่วมกับ มูลนิธิตับ แห่งประเทศไทยในหัวข้อเสวนา เรื่อง "ไวรัสตับอักเสบบีและซี " มหันตภัยร้ายรักษาได้ ก่อนสายเกินแก้ " เพื่อเป็นการคัดกรองให้ความรู้ และเสริมสร้างสุขภาพ อนามัยให้แก่ประชาชนชาวสุรินทร์ และจังหวัดใกล้เคียง ให้ห่างจากไวรัสตับอักเสบบีและซี สามารถดูแล และเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว##









วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2567

แงงกวงเกมส์ พิธีเปิดกีฬาสีโรงเรียนแงงกวง ศีขรภูมิ

 







"แงงกวงเกมส์" พิธีเปิดการแข่งขันกีฬาสีภายในโรงเรียนแงงกวง โดยมี พันตำรวจตรี พรรษวุฒ สุวานิช อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ  สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต ๑ ภาค ๓

  การแข่งขันกีฬาสี ภายในโรงเรียนแงงกวง ประจำปีการศึกษา 2566 ในวันที่ 26 มกราคม 2567 ณ.สนามโรงเรียนแงงกวง

 มีนายณัฐพล พงษ์ปิยานุรัตน์ ผู้รับใบอนุญาต ประธานโรงเรียนแงงกวง กล่าวรายงาน 

วัตถุประสงค์ ของการจัดการแข่งขันกีฬา ในครั้งนี้

- เพื่อให้นักเรียนมีสุขภาพ พลานามัย แข็งแรง

-  เพื่อฝึกการเป็นผู้นำ ผู้ตามที่ดี มีน้ำใจ เป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย

-   เพื่อให้นักเรียนหันมาสนใจการเล่นกีฬา

-   เพื่อให้นักเรียนรู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ และเป็นการเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ

-   เพื่อคัดเลือกตัวแทนนักกีฬาของโรงเรียน

 การจัดการแข่งขันกีฬาสี ประกอบด้วย สีแดง สีเขียวสีชมพู และสีม่วง

กีฬาที่จัดการแข่งขันมี 4 ประเภทคือ ฟุตบอล เซปักตะกร้อ แชร์บอล กรีฑา และกีฬาพื้นบ้าน

 มีท่านผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงานและสนับสนุนในครั้งนี้ นายทวีทรัพย์ โล้เจริญรัตน์ นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลศีขรภูมิ นายภัทรพล พงษ์ปิยานุรัตน์ รองนายกเทศมนตรี นายพัฒนา  พึ่งผล ปลัดอาวุโสอำเภอศีขรภูมิ รักษาการแทนนายอำเภอ นางนงเยาว์ ผาสุข รองผู้อำนวยการโรงเรียน ศ.ภ.ส. และคนอื่นๆอีกมากมาย    ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน  นับเป็นความภูมิใจและชื่นชมยินดีอีกครั้ง คณะครู บุคลากร และนักเรียนที่ ได้ร่วมกันจัดการแข่งขันกีฬาภายในขึ้น โดยมีคณะครูเป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาส ร่วมแข่งขันกีฬาอันจะก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี และมีพลานามัยสมบูรณ์ สามารถศึกษาเล่าเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าในปัจจุบันนักเรียนและเยาวชน มักมีปัญหาด้าน สิ่งเสพติด มัวเมาอบายมุข นักเรียนใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์ ทำให้เกิดผลเสียต่อตนเองและครอบครัว การจัดการแข่งขันกีฬาจะทำให้นักเรียนมีโอกาสได้ออกกำลังกาย และแสดงออกในทางที่ถูกต้อง และห่างไกลยาเสพติดไปในที่สุด

   จะขอฝากข้อคิดให้นักเรียนนักกีฬาได้ตระหนักว่า การแข่งขันกีฬานั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุด คือการได้เข้าร่วมการแข่งขัน ซึ่งจะก่อให้เกิด ประสบการณ์ ทางด้านกีฬา และการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะ แพ้หรือชนะก็ตาม ขอให้นักกีฬาทุกคน จงภูมิใจว่า เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว เพราะผลที่จะตามมาคือ ทำให้เรารู้จักคำว่า "น้ำใจนักกีฬา"

  ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ และสนับสนุนการแข่งขันกีฬาในครั้งนี้ ขอให้การแข่งขันกีฬา เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสำเร็จ ล่วงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ