srikho tv

ข่าวสาร ทั่วไป และวัฒนธรรมท้องถิ่น ประเพณี

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร กองทัพภาคที่ 2 เสริมสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารชายแดนปราสาทตาเมืองธม






 ## 🇹🇭 เสริมสร้างขวัญกำลังใจให้ทหารชายแดน​ ปราสาทตาเมือ​น​ธ​ม​


     วันที่​ 6​ พฤษภาคม​ 2568​  ที่​ ฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม​ ตำบลตาเมียง​  อำเภอพนมดงรัก​ จังหวัดสุรินทร์  ชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร​ กองทัพภาคที่​ 2​ (พสบ.) จังหวัดสุรินทร์ รุ่นที่​ 2​ ถึงรุ่นที่​ 6​ นำโดย​ นายวีระชัย ประเสริฐโส รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์​ พันเอกจิรัฏฐ์​ ช่วงฉ่ำ รองผู้บัญชาการ​กองกำลัง​สุรนารี​ และสมาชิกชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร​ กองทัพภาคที่​ 2 จังหวัดสุรินทร์​ เดินทางเข้าสักการะพระพุทธรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์​ ประจำฐาน​ พร้อมร่วมมอบสิ่งของบำรุงขวัญ​ เป็นเสื้อผ้า​ เครื่องอุปโภค​ บริโภค​ ให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตย​พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ของกองกำลังสุรนารี  โดยมี พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พันเอกบุญเสริม​ บุญบำรุง​ รองผู้บัญชาการ​กองกำลัง​สุ​ร​นารี​และ พันเอกภาคภูมิ​ นภากาศ  ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ​ที่​ 2​ กองกำลังสุรนารี​ และผู้บังคับหน่วยในพื้นที่ ให้การต้อนรับ







     🇹🇭 นายวีระชัย ประเสริฐโส​  รองผู้ว่าราชการจังหวัด​สุรินทร์​  กล่าวว่า​  ด้วยชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร​ กองทัพภาคที่​ 2​ จังหวัดสุรินทร์​ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเข้ามามอบสิ่งของให้แด่ทหารหาญกล้าชายแดน​ เพื่อเป็นการส่งขวัญ​กำลังใจ​  ให้​แก่ผู้กล้าแนวหน้า​ ที่เสียสละตนเอง​ ปกป้องผืนแผ่นดินไทย​ จึงอยากเป็นอีกส่วนหนึ่งกำลังใจในครั้งนี้


จากนั้นทั้งคณะได้เข้าเยี่ยมชมความงามของตัวปราสาทตาเมือนธม​ โดยบรรยากาศ​ยังคง​เป็นไปอย่างปกติ​ ซึ่งยังคงมีนักท่องเที่ยว​ เข้ามาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม​ เป็นระยะๆ​ โดยมีทหารทั้ง​ 2​ ฝ่ายอยู่ร่วมกันในตัวบริเวณปราสาทตาเมือนธมเช่นเดิม


#กองกำลังสุรนารี

#ปราสาทตาเมือนธม

#ชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร_กองทัพภาคที่_2 ##









วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2568

รองนายกฯ ประเสริฐ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำจังหวัดสุรินทร์ และมหกรรมฯสินค้าธงฟ้าราคาถูก ณ.สนามกีฬา ส.ส.ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม

 







##“รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำจังหวัดสุรินทร์

กำชับทุกหน่วยเตรียมพร้อมรับมือฝนทิ้งช่วงฤดูฝนนี้

“รองนายกฯ ประเสริฐ” ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในจังหวัดสุรินทร์ แม้ที่ผ่านมาไม่ประสบภัยแล้ง แต่ยังหวั่นฝนทิ้งช่วงลากยาว กำชับทุกหน่วยให้ความสำคัญน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นลำดับแรก 

วันนี้ (26 เมษายน 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล

เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ แนวทางการบริหารจัดการน้ำและความก้าวหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 ณ จังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วย 

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สทนช. ร่วมติดตามสถานการณ์ โดยมี นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ผู้แทนกรมชลประทาน ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

และประชาชนในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ ณ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยลำพอก ตำบลยาง อำเภอศีขรภูมิ และโครงการอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว ตำบลเกาะแก้ว อำเภอสำโรงทาบ ตามลำดับ 

รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีความห่วงใยต่อปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในหลายพื้นที่ของประเทศ จึงได้มาติดตามรับฟังปัญหาและความต้องการของพี่น้องประชาชนในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 13 เพื่อสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือทั้งแผนระยะเร่งด่วนและระยะยาว รวมถึงการพัฒนาแหล่งน้ำให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ควบคู่กันด้วย เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่มีอยู่ค่อนข้างน้อย และมีแนวโน้มอาจประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ได้ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รวมทั้งสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี พ.ศ. 2567 และปี พ.ศ. 2568 เพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ รวมทั้งสิ้น 389 โครงการ วงเงินงบประมาณ 2,263 ล้านบาท อาทิ การปรับปรุงระบบประปา การขุดลอกสระเก็บน้ำขนาดเล็ก และการเจาะบ่อบาดาลพร้อมระบบสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรน้ำและแก้ไขปัญหาด้านน้ำอย่างต่อเนื่องโดยเร็ว จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำห้วยลำพอกที่ได้รับอนุมัติงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงให้เสนอโครงการปรับปรุงอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ให้จังหวัดเร่งเสริมสร้างความเข้มแข็งและความเข้าใจของกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อการใช้น้ำร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการอนุรักษ์พื้นที่รอบอ่างเก็บน้ำทั้งสองแห่ง เพื่อรองรับปริมาณน้ำอย่างเต็มศักยภาพ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดหาแหล่งน้ำสำรองในช่วงฝนทิ้งช่วงเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ตามลำดับ และให้ สทนช. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อย่างเข้มข้น เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากเหตุการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ เชื่อมั่นว่า การดำเนินการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้จังหวัดสุรินทร์สามารถผ่านสภาวะฝนทิ้งช่วงปีนี้ไปได้

ด้าน เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สทนช. เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์อย่างใกล้ชิด โดยภาพรวมพบว่า ปริมาตรน้ำปีนี้น้อยกว่าปี 2567 ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กทั้งหมด 1,990 แห่ง มีปริมาตรน้ำรวมกัน 68.27 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 34% ของความจุเก็บกัก ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีกำชับให้ สทนช. กำกับติดตามมาตรการรองรับฤดูแล้งและรับมือฤดูฝนอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการแบบระบบลุ่มน้ำและกลุ่มลุ่มน้ำ โดยในวันนี้หลังจากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยลำพอกและอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว ได้วางแผนให้มีการบริหารจัดการน้ำร่วมกันเพื่อสามารถรับมือฝนทิ้งช่วงและสถานการณ์อุทกภัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยของคันกั้นน้ำ ทำนบ พนังกั้นน้ำต่างๆ และดำเนินการขุดลอก/กำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำหรือทางน้ำต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ รวมทั้งให้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุร่วมกันของหน่วยงานในพื้นที่ และการเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้มแข็งในการติดตามเฝ้าระวังและรับมือภัยด้านน้ำให้กับเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด 

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 

หลังจากนั้นได้เดินทางไปเปิดงานมหกรรมสินค้าราคาถูกธงฟ้าที่สนามกีฬา ส.ส.ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ##




















วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2568

กองกำลังสุรนารี จัดพิธีสักการะอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่วีรชนผู้กล้าปี 54





## กองกำลังสุรนารี จัดพิธีสักการะอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศล แด่ “วีรชนผู้กล้าปี 54 ” ณ ปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ พร้อมมอบพระเครื่อง สวมแด่อนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย 

  วันที่ 22 เมษายน 2568 พลตรีวีรยุทธ  รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาสักการะอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่ “วีรชนผู้กล้า ปี 54”  โดยมี พลโท อดุลย์  บุญธรรมเจริญ  อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 พลตรี ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2  พลตรี สมภพ  ภาระเวช  ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี  พันเอก ภาคภูมิ นภากาศ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 นายประภาส ศรีจันทร์เวียง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และ นาย เอกอนันต์  ศรีอินทร์  นายอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้








โดยบรรยากาศในช่วงเช้า ได้มีพิธีบรวงสรวงปราตาควาย ณ ตัวบริเวณภายในปราสาทตาควาย โดยมีชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ ฝั่งไทย เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายกัมพูชา เข้าร่วมสังเกตุการณ์ด้วยเช่นกัน และมีมคุเทศน์น้อยจากโรงเรียนไทยสันติสุข คอยบริการประชาชนที่เข้ามากราบไหว้ บรวงสรวง ซึ่งบรรยากาศก็เป็นอย่างเรียบง่าย  เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำมาโดยตลอดทุกปี


ต่อมา พลตรี วีรยุทธ  รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ประธานในพิธีมาถึง และกระทำพิธีสักการะอนุเสาวรีย์พิทักษ์ไทย มอบทุนแด่ตัวแทนครอบครัวผู้กล้า ปี 54 และพิธีสงฆ์น้ำพระเนื่องในเทศกาลปีใหม่ไทย เปลี่ยนผ้าห่มพระพุทธเมตตาองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นพระประดิษฐ์ฐานประจำปราสาทตาควาย  จากนั้นคณะได้ร่วมทำพิธีสงฆ์  ทำบุญถวายภัตตาหารเพล เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่ “วีรชนผู้กล้า ปี 54 ”  

 

ทั้งนี้ พลโท อดุลย์  บุญธรรมเจริญ  อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วย คณะคุณนุ พันพันล้าน ผู้จัดสร้างพระเครื่องหลวงปู่ศิลา ได้นำวัตถุมงคลเป็น ผ้ายันต์  ตระกรุด พระผงปิดตา รุ่นพิทักษ์ไทย โดยมีหลวงปู้ศิลา เป็นองค์ประธานปลุกเสก มารร่วมมอบให้แก่ทหารกล้าชายแดน ณ จุดที่เคยมีการประทะสู้รบครั้งแรก เมื่อปี 54 จำนวน กว่า 500 ชุด เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารกล้า  และได้นำเหรียญพระเครื่อง “รุ่นพิทักษ์ไทย” สวมไว้ที่อนุเสาวรีย์พิทักษ์ไว้ด้วยเช่นกัน จึงถือว่าเป็นอนุสาวรีย์แห่งเดียวในพระเทศไทย ที่อนุเสาวรีย์สวมพระเครื่อง 


ทั้งนี้ประวัติอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทยนั้น เกิดจากเหตุการณ์การรบปะทะ ในพื้นที่ปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ 22 เมษายน  ถึง 3 พฤษภาคม พุทธศักราช 2554 เป็นเหตุให้ฝ่ายเรา มีกำลังพลสูญเสีย จำนวน 8 นาย บาดเจ็บ จำนวน 98 นาย และจากการเสียสละชีวิต ในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย จนวาระสุดท้าย จึงนับได้ว่า เป็นวีรกรรมที่ควรค่าแก่การยกย่อง และจดจำยิ่ง 

 ต่อมา กองกำลังสุรนสรี ได้พัฒนาพื้นที่ การสู้รบในอดีต ให้เป็นแหล่งศึกษาทางประวัติศาสตร์ เพื่อเชิดชูเกียรติ อดีตทหารหาญที่ได้เสียสละชีพ ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และกำหนดพื้นที่ก่อสร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย บริเวณทางขึ้นปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ โดยได้รับความร่วมมือร่วมใจ จากผู้บังคับหน่วยในพื้นที่กองกำลังสุรนารี ที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ ในห้วงเวลาดังกล่าว รวมถึงญาติของกำลังพลที่เสียชีวิต 

อนุสาวรีย์พิทักษ์ไทย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1ฐานอนุสาวรีย์  มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้าง 12 เมตร ยาว 16 เมตร บริเวณกึ่งกลาง มีแท่นฐานขนาด กว้าง 4 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 2 เมตร 5 เซนติเมตร สำหรับรองรับรูปปั้นทหาร  ส่วนที่ 2 เป็นรูปปั้นทหารยืนถือปืน ในลักษณะท่าพร้อมใช้อาวุธ สะพายเครื่องหลัง หล่อด้วยทองเหลืองรมดำ ขนาดเท่าคนจริง  ซึ่งได้กระทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ.2564 ##





วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2568

ไฟไหม้รถเซียนบั้งไฟกลางทุ่งนาวอด 5คัน ใน10 นามีที่ยโสธร

 


##ไฟไหม้รถเซียนบั้งไฟกลางทุ่งนา! วอด 5 คันใน 10 นาที – ฟางข้าวเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี


เมื่อเวลา 16.45 น. วันที่ 15 เมษายน 2568 เกิดเหตุเพลิงไหม้รถของเซียนบั้งไฟจำนวน 5 คัน ขณะจอดอยู่บริเวณลานจอดรถ (ในพื้นที่นา) ภายในงานประเพณีบุญบั้งไฟ บ้านขุมเงิน ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร


เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิฮุก 31 ยโสธร พร้อมรถดับเพลิงประจำฐานบั้งไฟ เข้าระงับเหตุทันที พร้อมประสานกำลังเสริมจากเทศบาลตำบลตาดทอง และองค์การบริหารส่วนตำบลเขื่องคำ โดยใช้เวลาควบคุมเพลิงประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสามารถดับไฟได้ทั้งหมด




จากการสอบถามพยานในที่เกิดเหตุให้ข้อมูลว่า จุดเริ่มต้นของไฟน่าจะเกิดจากรถกระบะคันที่ 2 จากซ้าย ซึ่งมีการดัดแปลงติดตั้งกรงเหล็กสำหรับขนบั้งไฟ ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังคันที่ 1, 3, 4 และ 5 ตามลำดับ ภายในเวลาเพียง 10 นาที โดยมีฟางข้าวมี่รถเกี่ยวคายออกมาบริเวณพื้นนาเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี และจัดเป็นลานจอดรถ


หลังจากควบคุมเพลิงได้ พบว่ารถทั้ง 5 คันได้รับความเสียหายหมดทั้งคัน เหลือเพียงโครงเหล็ก สร้างความเสียใจให้กับเจ้าของรถและผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก มีพยานบอกเล่ารถคันที่ 2 ลืมโทรศัพท์ไว้ในรถและจอดตากแดดไว้ทำให้แบตเตอรี่เกิดระเบิดขึ้นเกิดประกายไฟลุกไหม้แล้วลามไปคันอื่น กองพิสูจน์หลักฐานจะได้ตรวจสอบต่อไป ##